เศรษฐเกษตรกร : เกษตรกรนำความรูู้ด้านเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ


หลักเศรษฐศาสตร์ กับ การเลือกแนวทาง ทำเกษตรกรรมในประเทศไทย

ประยุกต์จากเป้าหมายของธุรกิจ ในวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่ว่าหน่วยเศรษฐกิจต้องการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด  maximize profit เป็นเป้าหมายหลัก

                แต่ถ้าเป็นการทำเกษตรกรรมในบ้านเรา  น่าจะมุ่งเป้าหมายสร้างความอยู่ดี กินดี สูงสุด หรือ  maximize welfare จะดีที่สุด

                ก็คือ ทำมาหารายได้ให้พออยู่ พอกิน

               

                ตามความเห็นผู้เขียนคิดว่า น่าจะประมาณการมาจากต้นทุน ค่าใช้จ่าย ในการผลิต  รวมถึงการครองชีพของเกษตรกรก่อน ว่าเดือนหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร  ปีหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไรในการครองชีพ  และ ดูว่าจะเลือกปลูกพืชอะไร มีต้นทุนการปลูกเท่าไร  ทำรายได้เท่าไร

                โดยห้ามเอาราคาตลาดเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจ  เช่น  เห็นทุเรียนราคาดี ก็แห่ไปปลูก หรือ ที่ปลูกอยู่แล้วก็เพิ่มเนื้อที่เพาะปลูก  เพราะต้องการได้รายได้มากขึ้น  มันอาจไม่เป็นอย่างที่คาด เพราะเกษตรกรแห่ปลูกมากขึ้น ผลผลิตก็ล้นตลาด  ราคาตกต่ำ  เกษตรกรขาดทุน  พอปีต่อไปหนีไปปลูกพืชอื่น  อุปทานลดลง  ราคาก็จะดีขึ้น  พอปีต่อไปเกษตรกรก็จะหันกลับมาปลูกกันอีก   มันจะย้อนกลับไปมาเป็นวัฏจักรอย่างนี้  เกษตรกรที่คิดแบบนี้ ก็จะไม่มีวันลืมต้าอ้าปากได้ ตกอยู่ในภาวะหนี้สินตลอดไป

                วิธีการประมาณการ

                เช่น  ครอบครัวเกษตรกร มีสมาชิก 4 คน  มีค่าใช้จ่ายประจำเดือน  เช่น ค่าอาหาร  ค่าเดินทาง  ค่าน้ำ ค่าไฟ

ถ้าให้ค่าอาหารคนละ 50 บาทต่อมื้อ  วันหนึ่งคนละ 150 บาท  รวม 4  คน  ค่าอาหารวันละ 600 บาท  คิดคร่าวๆ ว่าค่าอาหารเดือนละ 20,000 บาท  รวมค่าใช้จ่ายอื่นในบ้าน เช่น ค่าน้ำ  ค่าไฟ  อีกประมาณเดือนละ 10,000 บาท

รวมหนึ่งเดือน ครอบครัวใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท คิดเป็นปีละ 360,000 บาท

                ทีนี้จะมาปลูกพืชอะไรดีที่จะ cover ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

                ถ้ามองไปที่มัลเบอร์รี่ ซึ่งปลูกได้ทั่วประเทศ ไม่ต้องดูแลมาก ต้นทุนไม่สูง  มีตลาดพอสมควร   ลงทุนปลูก 100 ต้น ต่อ 1 ไร่

                ผลตอบแทนพื้นที่ 1 ไร่  จะมีรายได้สุทธิหักต้นทุนเหลือ  30,000 บาท  ต่อเดือน หรือ ปีละ 360,000 บาท

ถ้าจะให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายปลูกราว  2  ไร่ ก็แล้วกัน  เผื่อรายจ่ายยามฉุกเฉิน + เงินออม

ปลูก 2 ไร่ ก็ทำรายได้สุทธิ ปีละ 720,000  บาท

: ฟังก์ชันการผลิต

                คือ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิต (input) กับ ผลผลิต (output)

ให้เกษตรกร ทดลองหาส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง input กับ output  ที่จะเป็นจุดผลิตที่เหมาะสมที่สุด (optimal)  เช่น

ที่ดิน                      ปุ๋ย                   น้ำ                   แรงงาน                   ผลผลิต

1 ไร่                 5 กระสอบ            รดเช้า เย็น              1  คน                 7,500 ก.ก.ต่อปี        

ทดลองไปเรื่อยๆ จะกว่าจะได้ส่วนผสมที่ดีที่สุด

ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ การประหยัดจากขนาดการผลิต  Economy of Scale เข้ามาช่วย  เช่น

ใช้แรงงาน 1 คน ต่อไร่   ค่าแรง 400 บาทต่อวัน

แต่ถ้าขยายพื้นที่เพาะปลูกเป็น 2 ไร่  ต้นทุนค่าแรงเฉลี่ยจะลดลงจาก 400 บาท ต่อไร  เหลือ  200 บาทต่อไร่

แต่ถ้าเพิ่มปัจจัยการผลิตมากเกินไป เช่น  เพิ่มแรงงานมากเกินไป

จนต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่  เพิ่มขึ้น  อันนี้จะกลายเป็น ความไม่ประหยัดจากขนาดการผลิต  Diseconomy of Scale 

                สรุป คือ ทำการเกษตรแบบผสมผสาน & เศรษฐกิจพอเพียง เดินตามแนวพระราชดำริในหลวง ร. 9 เหมาะสมที่สุดกับเกษตรกรไทยครับผม.


                Created by Mister Universal


สงวนสิทธิ์ โดย Mister Universal ห้ามนำไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต.


 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Mismatching fund ปัญหาที่ SMEs ควรหลีกเลี่ยง

SME : EDUCATION ข้อสอบเข้า ป.1 สาธิตราม

ACCOUNT RECEIVABLE